ประเด็นหัวข้อที่สนใจ
“การพัฒนาชุดกิจกรรมผสานเทคนิคการสอนแบบผังกราฟิก เพื่อเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4”
ปัญหาแบบกว้างโดยทั่วไป
1.ปัญหาเรื่องการโดดเรียน
1.ปัญหาเรื่องการโดดเรียน
เด็กหนีเรียนเป็นพฤติกรรมที่เด็กไม่มีความสุขที่จะเรียนหนังสือไม่ยอมเข้าเรียน
จะหลบอยู่ในบริเวณโรงเรียนหรือหนีไปอยู่นอกโรงเรียนตามสถานที่ต่าง ๆ
เกิดได้หลายสาเหตุ - ตัวเด็กเอง ในเรื่องของการเรียนไม่ดี เรียนไม่ทันเพื่อน
ไม่มีการบ้านส่งครู ถูกเพื่อนข่มขู่
- ครอบครัวขาดความสุข ทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว ความขัดสน หรือร่ำรวย
ด้วยวัตถุแต่ขาดความรัก ความใส่ใจจากพ่อแม่
- โรงเรียนและครูที่ไม่เข้าใจเด็ก มีกฎระเบียบที่เข้มงวด ครูที่เผด็จการ
ไม่ยืดหยุ่น ลงโทษรุนแรง วิธีการสอนของครูไม่น่าสนใจ
แหล่งอ้างอิงข้อมูล โพตส์เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2556
แหล่งอ้างอิงข้อมูล โพตส์เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2556
https://sites.google.com/site/payhawayrunpaccuban/payha-reuxng-kar-dod-reiyn
2. นักวิชาการชี้เด็กไทยวิกฤติทางความคิด เหตุจากระบบการศึกษา!
3. 7 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพ
ปัญหาที่เกี่ยวข้องโดยตรง
2. นักวิชาการชี้เด็กไทยวิกฤติทางความคิด เหตุจากระบบการศึกษา!
มศว. ชี้เด็กไทยขาดการใช้ความคิด วิจารณญาณ เหตุระบบการศึกษาไม่เอื้อให้เด็กคิด วิเคราะห์ ตั้งข้อสงสัย น่าเสียดายเด็กไทยสูญเสียการฝึกคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ ประธานค่ายเด็กเก่งสมองไว มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า สังคมไทยมีระบบความคิดความเชื่อเกี่ยวกับเด็กที่ไม่ถูกต้อง การเรียนการสอนก็ไม่เคยเอื้อให้เด็กโต้แย้ง หรือตั้งข้อสงสัย และหาข้อพิสูจน์กับครู เด็กไทยส่วนใหญ่เชื่อในข้อมูลเดิมๆ ที่ครูสอน ทั้ง ๆ ที่ข้อมูลต่าง ๆ มีมากมาย และช่องทางการหาความรู้ก็มีเพิ่มมากขึ้น ส่วนการปลูกฝังให้เด็กมีความคิด และวิจารณญาณนั้นอยู่ในขั้นวิกฤต
โดยในเด็กในประถมศึกษานั้น มีการสรุปเรื่องต่าง ๆ อย่างขาดความเหมาะสม เนื่องจากหลายสาเหตุ เช่น ความรู้ไม่พอ วุฒิภาวะด้านต่าง ๆ ไม่เพียงพอ เด็กคิดว่าถูกเพราะบางส่วนมักถูกการยึดจากความคิดตนเองเป็นหลัก สืบเนื่องจากพัฒนาการของเด็กวัยนี้ที่มักยึดตนเองเป็นหลัก
ดังนั้น การฝึกให้เด็กคิดอย่างมีวิจารณญาณจึงต้องฝึกเรื่องหลัก ๆ 2 เรื่องคือ
1) การเรียนรู้ว่าจะถามอย่างไร
2) เรียนรู้ว่าจะใช้เหตุผลอย่างไร
แหล่งอ้างอิงข้อมูล http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000024701
3. 7 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพ
1.บรรยากาศเปิด
-สภาพในโรงเรียน/ห้องเรียน
เอื้อต่อการเรียนการสอน
-เรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน
-มีการนำเข้าสู่บทเรียน
เช่น ร้องเพลง เล่านิทาน
-มีสื่ออุปกรณ์หลากหลาย
-สนับสนุนให้เกิดความอยากรู้
อยากเห็น
-ห้องเรียนสะอาด
สวยงาม
-ครูและนักเรียนทำตัวเป็นกันเอง
2.ครูเปิด
-เปิดกว้างให้นักเรียนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น
-รับรู้ใหม่
ๆ ทันเหตุการณ์
-มีการพัฒนาตนเองโดยศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ต่าง
ๆ
-ให้โอกาสนักเรียนซักถามปัญหาที่สงสัย
-เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง
-ครูพร้อมที่จะทำการสอน
-ใช้คำถามจูงใจเด็ก
-ให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
3.สื่อเปิด
-มีสื่อที่หลากหลายตามความสนใจเด็ก
4. จะจัดการเรียนการสอนอย่างไร
จึงจะยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้น
(อ้างอิงข้อมูล
เอกสารลำดับที่ 6/2554 กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา
เขต 2)
“ตัวร่วม” ที่เป็นวิธีการหรือเทคนิคที่ประสบความสำเร็จในการสอนเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้
ได้แก่
1.
ครูต้องรู้จริงและรู้แจ้งในเนื้อหาสาระวิชาที่สอน
2. มีการวิเคราะห์
และจำแนกผู้เรียนเป็นกลุ่มเก่ง กลุ่มปานกลาง และกลุ่มอ่อน
เพื่อพัฒนาให้ตรงกับความสามารถของนักเรียน
3. ครูสอนเต็มที่ เต็มหลักสูตร เต็มเวลา
ด้วยความเต็มใจ
4. ฝึก ย้ำ ซ้ำ ทวน
อยู่เสมอเพื่อให้นักเรียนเกิดทักษะในการเรียนรู้ที่คงทน
5. ครูทำวิจัยชั้นเรียนเพื่อพัฒนาความสามารถของนักเรียนเป็นรายคน
6.
ไม่ได้มุ่งเป้าหมายว่าจะของบประมาณให้มากแล้วผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะสูงขึ้น
5. ปัญหาการศึกษาไทยในปัจจุบัน
มาตรา ๔๘ แห่งร่างรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช
2550 บัญญัติไว้ว่า
"บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ
โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย..."แต่ที่ผ่านมาปัญหาการศึกษาของไทยกลับถูกสั่งสมและเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นหากจะแบ่งปัญหาการศึกษาออกเป็นส่วนๆอาจจะสามารถนำเสนอได้ดังนี้
1. ปัญหาระดับจุลภาค
คือหน่วยย่อยที่สามารถมองเห็นภาพของปัญหาได้ชัดเจนที่สุด
1.1 บุคคล
1.1.1 บุคลากรทางการศึกษา
บุคลากรทางการศึกษาคือผู้ที่นำพาองค์กรและสถานศึกษาให้ก้าวไปสู่วิถีแห่งการเพิ่มพูนประสิทธิภาพขององค์กรนั้นๆ
แต่ในความเป็นจริงบุคลากรทางการศึกษาโดยเฉพาะผู้บริหาร เช่น ผอ.สพท. รอง ผอ.สพท.
ผอ.สถานศึกษา รอง ผอ.สถานศึกษา มักจะมีข้อแม้หรือเงื่อนไขต่างๆในการปฏิบัติงานอยู่เสมอ
ทั้งด้านผลประโยชน์และความก้าวหน้าทางหน้าที่
คงมิใช่เรื่องแลกที่จะได้ยินข่าวการเรียกรับเงินกับการอำนวยความสะดวกในการขอย้ายเข้าพื้นที่มาลงในตำแหน่งที่ว่างอยู่
หรือการับเงินเป็นการส่วนตัว(มิใช่กรณีโควตาของสมาคมผู้ปกครองและครู)ระหว่างผู้บริหารสถานศึกษากับผู้ปกครองที่ต้องการให้ลูกเข้าเรียนโรงเรียนที่มีชื่อเสียง
สิ่งเหล่านี้หรือคือคุณสมบัติของผู้นำองค์กรทางการศึกษา
และประเด็นที่สำคัญคือความไม่เข้าใจและไม่เป็นเอกภาพของข้าราชการ เพราะ สพท.
ในปัจจุบันได้รวมข้าราชการของ กรมสามัญและ สปช. เดิมเข้าด้วยกัน
ทำให้บางครั้งผู้บริหารที่มาจากตำแหน่งในกรมสามัญไม่เข้าในสภาพการจัดการศึกษาและศักยภาพของครูที่เคยสังกัด
สปช.มาก่อน ผลที่เกิดขึ้นคือการต่อต้านเงียบ
อันจะส่งผลให้กระบวนการทางการศึกษาไม่มีการพัฒนามีแต่จะทรงกับทรุด
แหล่งอ้างอิงข้อมูล http://www.kroobannok.com/blog/31911
6. มีนักเรียนหลายคนที่ไม่ชอบเรียนวิชาสังคมศึกษาโดยมี
แหล่งอ้างอิงข้อมูล http://www.suanboard.net/home.php
ผลจากการสำรวจวิชาเรียนที่นักเรียนไม่อยากเรียนมากที่สุดพบว่า
วิชาสังคมศึกษาเป็นวิชาแรกๆ ที่นักเรียนไม่อยากเรียนดังที่ กรุงเทพโพล สำรวจนักเรียนมัธยมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ 7-8 มกราคม 2552 พบว่า
5 อันดับแรกของวิชาเรียนที่นักเรียนไม่ชอบเรียนมากที่สุด
ได้แก่ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย สังคมศึกษา และวิทยาศาสตร์ ตามลำดับ
โดยนักเรียนให้เหคุผลว่าไม่ชอบวิชาสังคมศึกษา
-
เพราะว่า เรียนแล้วเครียด
ต้องเขียนเยอะ และไม่ชอบท่องจำ
-
จากผลการสำรวจความคิดเห็นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า
มีนักเรียนอีกจำนวนมากที่เรียนวิชาสังคมศึกษา แบบไร้ความสุขในการเรียน
แต่จำเป็นต้องเรียน เพราะหลักสูตรกำหนดให้เรียน และต้องใช้ผลการเรียนเพื่อประโยชน์ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย(สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย)
ถ้าเราไม่สามารถปฏิเสธการเรียนวิชาสังคมศึกษาได้ เราลองมาทำความรู้จัก
กับวิชาสังคมศึกษา
7. อ้างอิงข้อมูล https://www.gotoknow.org/posts/124042 โพสต์โดยนาย วุฒิพงศ์ ยอดน้ำคำ
2551
จากประสบการณ์การเรียนการสอนที่ผ่านมาในรายวิชาสังคมศึกษา
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ทำให้พบกับปัญหา
1.นักเรียนขาดความสนใจในการเรียน
2.ไม่ชอบเรียนวิชาสังคมศึกษา
3.น่าเบื่อ
เรียนแล้วง่วง สาเหตุเนื่องจาก
กิจกรรมการเรียนการสอนส่วนใหญ่ของวิชาสังคมเป็นการบรรยาย ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย
และไม่ค่อยสนใจเรียนวิชาสังคมศึกษา ซึ่งครูก็ต้องหาวิธีการต่าง ๆ
มาช่วยสอนเพื่อให้นักเรียน กลับมาสนใจตั้งใจเรียนมากขึ้น
8. ปัญหาการสอนวิชาสังคมศึกษาทั้งประถมและมัธยมศึกษาแบบบรรยายโดยมีครูเป็นศูนย์กลาง
กล่าวคือ
1. ครูจะยืนอยู่หน้าชั้นเรียนสอนเนื้อหาสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกันต่อนักเรียนจำนวนมาก
2. ครูส่วนใหญ่ก็จะตั้งความหวังไว้ว่านักเรียนทุกคนจะต้องเรียนได้เท่าๆกัน
ซึ่งขัดกับหลักจิตวิทยาว่าด้วยความแตกต่างระหว่างบุคคล ที่คนแต่ละคนมีความสนใจ
ความสามารถ ความถนัด และมีวิธีเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าผู้เรียนแต่ละคนจะรับความรู้ที่ถ่ายทอดได้ไม่เท่ากัน
3. การสอนโดยยึดครูเป็นศูนย์กลางเพียงอย่างเดียวจะไม่ตอบสนองความแตกต่างรายบุคคลได้ครบทั้งหมด
จึงทำให้ผู้เรียนบางส่วนเกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากเรียน
และเกิดพฤติกรรมต่างๆที่ครูคิดว่าเป็นปัญหา
แหล่งอ้างอิงข้อมูล
9. ประเด็น เรียนสังคมให้เก่ง ไม่ใช่เรื่องยาก
โดยลักษณะเนื้อหาที่เรียนในวิชาสังคมค่อนข้างจะเป็นนามธรรม
ซึ่งยากต่อความเข้าใจโดยเฉพาะวิชาภูมิศาสตร์ที่มีเนื้อหามาก
และการเรียนการสอนจะเป็นในรูปแบบการบรรยาย
จึงทำให้ผู้เรียนไม่เกิดการเรียนรู้และขาดความรู้ที่จะนำเป็นประยุกต์ใช้
และจากการเรียนการสอนที่ยากทั้งเนื้อหาและยากต่อการทำความเข้าใจ
ทำให้นักเรียนขาดความกระตือรือร้นในการเรียน การทำกิจกรรม
จากปัญหาที่พบในการสอนวิชาสังคมศึกษา ก็คือ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนและความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงต่ำ ครูจึงต้องปรับเปลี่ยนแนวการสอน
และรูปแบบกิจกรรมให้น่าสนใจมากขึ้น โดยเน้นกระบวนการเรียนที่มีระบบ
นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ให้ประสิทธิภาพและให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนให้มากที่สุด
โดยใช้สื่อที่เหมาะสมกับกับการเรียนการสอนในปัจจุบัน ซึ่งมีการใช้สื่อหลายแบบ
ที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยจัดทำในรูปแบบบทเรียนชุดสื่อประสม
โดยจะผลิตออกมาให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่ใช้ในการสอนอย่างเป็นระบบ
และจัดทำในโปรแกรม Power point เป็นสื่อที่ช่วยเร้าความสนใจผู้เรียน มีทั้งภาพนิ่ง
ภาพเคลื่อนไหว และเสียง ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี โดยจากการศึกษาผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับการนำการเสนอด้วย
รูปแบบบทเรียนชุดสื่อประสม ไปใช้ในกระบวนการสอน พบว่า
รูปแบบบทเรียนชุดสื่อประสมที่สร้างขึ้นและผ่านขั้นตอนการวิจัยอย่างมีระบบแล้ว
ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ มีประโยชน์ต่อผู้เรียน
"วิชาสังคมศึกษา"
แค่ได้ยินชื่อวิชาขึ้นมา หลายคนก็เตรียมหมอนนอนรอแล้ว ว่าเด็กไทยแปลกดีนะ
พวกวิชาคำนวณ อย่างคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก็ไม่ชอบ ภาษาต่างประเทศก็ไม่ชอบ
วิชาง่ายๆ อย่างภาษาไทยก็ไม่ชอบ ส่วนวิชาสังคมยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เข้าไปหลับอย่างเดียว
สาเหตุที่น้องๆ ไม่ค่อยชอบวิชานี้
สรุปมาดังนี้
1.
เนื้อหาเยอะมาก ไม่รู้จะเยอะไปไหน เรียนสิบปีก็ยังไม่หมดซักที
2.
เป็นวิชาที่ยาก ใช้ความจำล้วน คนความจำสั้นอย่างเราก็จำไม่เคยได้ซักที
3.
ไม่รู้ว่าเรียนแล้วเอามาใช้อะไร
10. การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา
เรื่อง แผนที่ โดยใช้บทเรียนชุดสื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
(กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยในชั้นเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
4 จำนวน 159 คน โรงเรียนทุ่งตะโกวิทยา อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2553)
จากสภาพปัจจุบันในการจัดการเรียนรู้ในวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมในภาพรวมระดับประเทศยังไม่บรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
โดยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรมค่อนข้างต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งจากผลการประเมินคุณภาพนักเรียนระดับประเทศซึ่งในการจัดการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษา
ได้มีการนำหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551
มาใช้ในการเรียนการสอน โดยในหลักสูตรจะเน้นผู้เรียนให้พร้อมในทุกด้าน เช่น
ด้านวิชาการ การมีสมรรถนะ มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานได้บรรจุวิชาภูมิศาสตร์ไว้ในสาระการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นวิชาที่ทำให้ผู้เรียนเข้าใจในเรื่องของลักษณะของโลกทางกายภาพ
ตระหนักความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งที่ปรากฏตามธรรมชาติ ซึ่งมีผลต่อชีวิตของมนุษย์
การใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการค้นหาข้อมูลภูมิศาสตร์สารสนเทศจะนำไปสู่การใช้และจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าใจถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วัฒนธรรมและมีจิตสำนึกอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
แหล่งอ้างอิงข้อมูล http://www.vcharkarn.com/vcafe/190934
11. การดำเนินการยกระดับผลสัมฤทธิ์ (O-NET) ปีการศึกษา 2554 วิชา สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ของโรงเรียนที่มีผลคะแนนการสอบ
O-NET สูงหรือมีคะแนนการพัฒนาสูงขึ้น (อ้างอิงข้อมูล สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษา
เขต 9)
10.1 โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย
โดยคุณครูสุดา
จุลลัษเฐียร ดำเนินการดังนี้
1.
ด้านครูผู้สอน -
จัดระบบติวเสริมเนื้อหาเขม้ในชั่วโมงคาบอบรม - สอนตรงตามตัวชี้วัด พยายามเพิ่มทักษะการคิดวิเคราะห์ต่าง
ๆ - วิเคราะห์ข้อสอบ O-NET
แต่ละปี แยกน้ำหนักเนื้อหา
2.
ด้านผู้เรียน -
ก่อนสอนระบุถึงการสอนแต่ละหน่วยการเรียนรู้
เนื้อหาต่าง ๆ มุ่งให้เกิดการ เรียนรู้อย่างไร -
ซักถามผู้เรียนถึงการสนใจที่จะเรียนรู้ในเรื่องใดก่อน-หลัง - วิเคราะห์ร่วมกับผู้เรียนถึงปัญหาการเรียนรู้ในเนื้อหาในสาระสังคมฯว่ามีจุดดี จุด ด้อยอย่างไรบ้าง -
ส่งเสริมให้ผู้เรียนมองผังการสร้างมโนทัศน์ เนื้อหาก่อนเรียน - ทำกิจกรรมเสริมในท้ายชั่วโมงที่ผู้เรียนจะต้องสรุปความคิดรวบยอด 1.3
ด้านผู้บริหารหรือการบริหารจัดการ -
สนับสนุนเอกสารความรู้ - จัดครูในการสอนติวความรู้ -
จัดหาเอกสารความรู้ในการเพิ่มเติมสาระวิชา 1.4 ด้านอื่น ๆ
ที่โรงเรียนได้ปฏิบัติ -
แจกเอกสารความรู้เพิ่มเติมในสิ่งที่ควรรู้แก่ครู - ส่งเสริมให้นักเรียนแข่งขันทางวิชาการอย่างหลากหลาย
10.2.
โรงเรียนกัลยาณวัตร
โดยคุณครูอุบล เจริญศิริ ดำเนินการดังนี้
1.
ด้านครูผู้สอน - สอนเนื้อหาสาระตามตัวชี้วัด
ตามหลักสูตรแกนกลางให้ครบตามมาตรฐาน ตัวชี้วัด – ฝึกให้นักเรียนทำข้อสอบ O-NET โดยนำข้อสอบมาให้นักเรียนฝึกทำเพื่อให้เกิด
ความคุ้นชินในข้อสอบ – ขณะสอนกระตุ้นให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของการสอบ O-NET
ว่ามีผลดีอย่างไร กับนักเรียน - จัดหาข้อสอบและแบบฝึกหัดให้นักเรียนไปฝึกทำแล้วกลับมาเฉลยและร่วม
อภิปรายในชั้นเรียน - จัดติว O-NET ให้นักเรียน ม.3 ทุกคนในการสร้างเสริมคุณธรรม จริยธรรม ซึ่ง นักเรียน ม.3 จะต้องมารวมกันเพื่อติว
และเพิ่มพูนความรู้ทุกกลุ่มสาระทั้ง 8 กลุ่มสาระ โดยจัดครูที่สอน ม.3รับผิดชอบทุกกลุ่มสาระ
2. ด้านผู้เรียน - ครูกระตุ้นนักเรียนโดยพูดถึงความสำคัญของการสอบข้อสอบ
O-NET เสมอ - สนับสนุนให้นักเรียนทําข้อสอบได้อย่างทั่วถึงทุกคน โดยการจัดหาข้อสอบให้ - แนะนำให้นักเรียนค้นคว้าแนวข้อสอบจากเว็บไซด์ต่าง
ๆ
3.
ด้านผู้บริหารหรือการบริหารจัดการ -
ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ การจัดหาข้อสอบ
และอาจารย์ที่มีความรู้ ความสามารถในการให้ความรู้แก่นักเรียน 4. ด้านอื่น
ๆ ที่โรงเรียนได้ปฏิบัติ
-
จัดสอนซ่อมเสริม และติวนักเรียน ม.3 ก่อนสอบ
O-NET โดยใช้คาบสร้างเสริม คุณธรรม จริยธรรม ซึ่งนักเรียน ม.3 ว่างตรงกันทุกวันจันทร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น